วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สารคดีสิ่งแวดล้อม


ใครกันแน่ที่ทำลาย ?

                  ปัจจุบันชายหาดพัทยาเหนือ เหลือพื้นที่จากชายฝั่งลงไปในทะเลประมาณห้าเมตรเท่านั้น ถือว่าเป็นระยะทางที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ ๑๐ ปีที่แล้ว บางบริเวณแทบจะไม่เหลือพื้นที่ชายหาดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นหรือเดินลงไปเหยียบหาดทราย อีกทั้งยังเกิดปัญหาการทรุดตัวของดินทำให้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ริมชายหาดล้มลง จนทำให้ทัศนียภาพบริเวณนั้นดูไม่เจริญตานัก นับว่าปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะนี้สร้างความสูญเสียต่อพื้นที่ชายฝั่งไม่น้อย จนต้องมีการติดป้ายประกาศห้ามนักท่องเที่ยวเข้ามาบริเวณที่พื้นดินทรุดเพื่อความปลอดภัย
                  จากปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดพัทยาเหนือ จึงทำให้หลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและหาวิธีแก้ไขปัญหา จะมีใครทราบหรือไม่ว่าต้นเหตุของปัญหานี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครกันที่เป็นผู้ทำลาย
                  จากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะบริเวณชายฝั่งหรือชายหาดพัทยาเหนือ จังหวัดชลบุรีนี้ เกิดจากปัจจัยสำคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรกเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจต้านทานได้ ทั้งการเกิดลมมรสุมและพายุ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ในช่วงที่มีลมมรสุมและพายุจะทำให้เกิดคลื่นลมเคลื่อนเข้าปะทะชายฝั่ง ทำให้มีการพัดพาเอามวลทรายออกจากพื้นที่ชายหาดในช่วงเวลาหนึ่ง และจะพัดเอามวลทรายกลับมาในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้มวลทรายที่ถูกพัดพาออกไปจากชายฝั่ง และมวลทรายที่ถูกพัดพาเข้ามานั้นไม่สมดุลกันตามกำลังลมที่เกิดขึ้น
                  น้ำขึ้น-ขึ้นลง เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะเช่นกัน ทะเลจะเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงทุกวัน ในการเกิดแต่ละครั้งส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของตะกอนดินเลน และมวลทรายบริเวณชายฝั่ง ซึ่งอาจจะเกิดความไม่สมดุลดังเช่นที่เกิดกับลมมรสุมและพายุ มีส่วนทำให้เกิดการกัดเซาะบริเวณชายหาดได้เช่นกัน
                  ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงนี้ ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับกระแสน้ำ เนื่องจากกระแสน้ำจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชายฝั่งทะเล กระแสน้ำในช่วงน้ำลงจะมีความรุนแรงกว่ากระแสน้ำในช่วงน้ำขึ้นจึงทำให้เกิดตะกอนมากกว่า ซึ่งตะกอนจะถูกพัดพาไปสะสมตัวตามทิศทางการไหลของกระแสน้ำ จึงทำให้มวลทรายที่ถูกน้ำขึ้น-น้ำลงพัดไปนั้นไม่สมดุลกัน ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดได้ ถือว่ากระบวนการทางธรรมชาตินี้ สร้างความเสียหายต่อพื้นที่ชายหาดเป็นอย่างมาก
                  นอกจากสาเหตุจากกระบวนการทางธรรมชาติแล้ว มนุษย์ถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำลายพื้นที่ทรัพยากรชายฝั่ง การกระทำของมนุษย์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีล้วนสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ชายหาดพัทยาเหนือ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลขนาดใหญ่ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการชายฝั่ง เช่น การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบังด้านทะเลอ่าวไทย โดยมีการถมทะเลและสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ในทะเล ซึ่งกีดขวางกระบวนการเคลื่อนตัวของมวลทรายชายฝั่งทะเล นอกจากนี้กิจกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น การก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ท และบ้านพักอาศัย และการดูดน้ำบาดาลมาใช้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายฝั่งทะเลเกิดปัญหาแผ่นดินทรุด และมักมีปัญหาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเลจนเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน

เสียงสะท้อนจากสังคมหลังระดมแก้ปัญหาครั้งที่ ๑
     “ผู้ประกอบการในบริเวณนี้ รายได้ลดลงมากกว่าครึ่ง เพราะปัญหาพื้นที่ไม่สวยงาม นักท่องเที่ยวจึงย้ายที่เพราะไม่มีที่ให้เล่นน้ำ วีระศักดิ์  เชี่ยวกิจ ผู้ประกอบการรายหนึ่งที่ค้าขายมา ๗-๘ ปี กล่าวความในใจและความรู้สึกหลังจากที่เมืองพัทยาได้ลงมาแก้ไขปัญหาชายหาดพัทยาที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะด้วยวิธีนำกระสอบทรายมาวางตามแนวชายหาดพัทยา เป็นระยะทาง ๙๗ เมตร
      ก่อนที่จะมีการนำกระสอบทรายมาวางตามแนวชายหาดพัทยาเหนือ ผู้ประกอบการยอมรับว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเล่นน้ำในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมีการนำกระสอบทรายมาวางไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวชายหาดพัทยาเหนือหลายคน มองข้ามบริเวณพื้นที่ที่มีการนำกระสอบทรายมาวางไว้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าบริเวณนี้ไม่เหมือนหาดทรายจริง ไม่มีความเป็นธรรมชาติและไม่มีความสวยงาม
                  ปกติแล้วเวลาที่ไปเที่ยวทะเล สิ่งแรกที่ทุกจะได้สัมผัสก่อนถึงน้ำทะเลคือหาดทราย แม้บริเวณนี้จะมีหาดทรายอยู่จริง เชื่อว่าหลายคนเปลี่ยนใจไม่อยากลงเล่นน้ำ ซึ่งแตกต่างจากอีกด้านหนึ่งของชายหาด ที่ยังไม่ได้มีการนำกระสอบทรายมาวางแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ เป็นพื้นที่ชายหาดที่มีความสวยงาม ลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย และนักท่องเที่ยวได้สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง
                 
                  บริเวณแนวชายหาดที่เมืองพัทยานำกระสอบทรายมาวางแก้ไขปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่ช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดอันตรายในขณะที่ลงเล่นน้ำ เนื่องจากเมื่อนำกระสอบทรายมาวางไว้เป็นระยะเวลานานแล้วจะเกิดตะไคร่น้ำสีเขียวขึ้นบนกระสอบทราย ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินไม่ทันระวังลื่นล้มได้รับบาดเจ็บ บางคนลื่นล้มจนแขนหักเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังมีสัตว์ทะเลจำพวกเพรียงที่มีหนามแหลมเกาะอยู่บนกระสอบทราย เมื่อนักท่องเที่ยวเดินมาเหยียบเพรียงจึงทำให้ได้รับบาดเจ็บจากการลงมาเล่นน้ำครั้งนี้ เป็นการบั่นทอนจิตใจ เกิดความรู้สึกในแง่ลบ จนไม่อยากมาเล่นน้ำบริเวณนี้หรือตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อไป
                  เมื่อนักท่องเที่ยวมีจำนวนลดลงย่อมส่งผลต่อผู้ประกอบการในบริเวณนั้น ทำให้รายได้จากการค้าขายลดลงไปด้วย แต่รายได้ส่วนใหญ่ได้มาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เพราะ พวกเขานิยมมานอนอาบแดดมากกว่าการลงเล่นน้ำ บางคนนอนอาบแดดบนกระสอบทรายอย่างมีความสุข ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนมักเลือกสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ สะดวกสบาย พวกเขาจึงย้ายที่นั่งเล่น อีกทั้งบริเวณนี้อันตรายด้วย รายได้จากการท่องเที่ยวจึงเปลี่ยนไปอยู่อีกด้านหนึ่งของชายหาดพัทยาเหนือที่ยังไม่ได้แก้ปัญหา ผู้ประกอบการรู้สึกว่านี้คือปัญหาสำคัญที่กระทบต่อการค้าขาย อีกทั้งยังส่งผลไปถึงเศรษฐกิจของเมืองพัทยา ที่อาจมีรายเข้าเมืองพัทยาลดลงตามไปด้วย

                  สำหรับโครงการของเมืองพัทยานี้ช่วยแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะได้เป็นอย่างดี แต่โครงการนี้ไม่เป็นไปตามที่เมืองพัทยาได้เสนอรูปแบบโครงการไว้ ผู้ประกอบการจึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งแก้ปัญหาโดยเร็ว คือควรนำกระสอบทรายมาวางให้ได้ตามแนวชายหาด แล้วนำทรายมาเทกลบกระสอบทรายเพื่อให้ชายหาดพัทยาเหนือกลับมาสวยงาม มีความเป็นธรรมชาติและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง
                   หลายคนคาดหวังว่าดินแดนชายหาดพัทยาเหนือจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ถ้าหากหน่วยงานที่รับผิดชอบตระหนักถึงปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักของอารยประเทศ


(http://youtu.be/RYGQYn2J03U)


งานเขียนสารคดี

งานเขียนสารคดี

(ภาพจาก www.shopinlove.com)


1.1 แนวคิดเกี่ยวกับสารคดี
โดยทั่วไปสารคดี (Non-Fiction) เป็นหนังสือร้อยแก้ว (Prose) ประเภทหนึ่งซึ่งมีผู้ให้ความหมายและแยกประเภทสารคดีต่างๆ กันออกไป (ทวีศักดิ์  ญาณประทีป, 2532, น.1) สารคดี คือ งานประพันธ์ร้อยแก้วที่ผู้เขียนมุ่งที่จะเสนอความรู้และความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เป็นหลัก เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กันด้วย อาจมีการสอดแทรกจินตนาการไปด้วยก็ได้ (ชลอ รอดลอย, 2544, น.5)
คำว่า สารคดีตรงกับภาษาอังกฤษสองคำ คือคำว่า Non-Fiction หมายความว่า ไม่ใช่นวนิยาย ไม่ใช่เรื่องโกหก เป็นการให้ความหมายกว้างๆ นั่นคือ หนังสือสารคดี อีกคำหนึ่งคือ Feature หมายถึงสารคดีเรื่องเอก เหมาะกับลงหนังสือพิมพ์ คือการนำเรื่องเด่นๆ มาเขียนเป็นสารคดีสำหรับหนังสือพิมพ์ ซึ่งน่าจะเรียกวาบทความสารคดี (พิมาน แจ่มจรัส, 2550, น.409) ความเข้าใจที่มีต่อคำว่า สารคดีนั่นค่อนข้างกว้าง เนื่องจากเป็นได้ทั้งประเภทของหนังสือและประเภทของงานเขียน แต่ในที่นี้จะเน้นถึงงานเขียนสารคดีที่มาจากคำว่า Feature ซึ่งมักปรากฏในหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร
งานเขียนประเภทนี้จะเป็นงานเขียนที่เน้นองค์ประกอบด้านความสนใจของมนุษย์ (Human Interest) มากกว่าความสดของเหตุการณ์ (Recentness) โดยปกติเมื่อผู้เขียนต้องการจะเขียนสารคดีแล้วมักเลือกเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ สิ่งประดิษฐ์ หรือถ่ายทอดความคิดบางอย่าง วัตถุประสงค์ของการเขียนสารคดีมักจะเป็นเพราะความน่าสนใจของเนื้อหามากกว่าจะเกิดจากความรีบเร่งเสนอให้ทันเวลาเส้นตาย (Deadline) (มาลี บุญศิรีพันธ์, 2530, น.9) สารคดีในความหมายใหม่นั้นเป็นงานที่อยู่กึ่งกลางของงานเขียนวิชาการกบวรรณกรรม หมายความว่าการเขียนสารคดีจะต้องอาศัยข้อมูลจริง ผู้เขียนจะต้องทำการศึกษาค้นคว้า เก็บรวบรวมตีความข้อมูลเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องมาเป็นวัตถุดิบ การเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น
บางครั้งนักเขียนสารคดีจะต้องเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นแหล่งข้อมูล เช่นเดียวกบที่นักวิชาการลงไปเก็บ
ข้อมูลภาคสนาม เพื่อเขียนงานวิจัย ข้อมูลหรือวัตถุดิบที่นำมาเขียนสารคดีมีจุดหมายเพื่อนำเสนอ
สาระความรู้ที่ถูกต้องแก่ผู้อ่าน เมื่อพิจารณาในแง่นี้จะเห็นได้ว่าสารคดีก็ไม่ต่างจากงานเขียนทางวิชาการ (ธัญญา วังขพันธานนท์, 2548, น.19)

1.2  ประเภทของสารคดี
เดิมนักวิชาการแบ่งประเภทของสารคดีออกเป็น 10 ประเภท ดังต่อไปนี้ (ถวัลย์ มาศจรัส, 2538, น. 24-27 ; พิมาน แจ่มจรัส, 2550, น.114-115)

            1. สารคดีบุคคล (Personal Profiles) เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตที่น่าสนใจของบุคคลทั่วไปในแง่มุมต่าง ๆ
            2. สารคดีโอกาสพิเศษ (Seasonal Stories) เป็นเรื่องที่เขียนตามเทศกาลสำคัญต่างๆ ของ
แต่ละวัน ได้แก่ วันสำคัญ เดือนที่มีความหมายพิเศษ วันพิเศษ ปี พิเศษต่าง ๆ เช่น วันขึ้นปี ใหม่ วันเข้าพรรษา วันจักรี วันเฉลิมพระชนพรรษา ปี รณรงค์วัฒนธรรมไทย เป็นต้น
            3. สารคดีประวัติศาสตร์(Historical Features) เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาเขียนขึ้นเพื่อย้ำเตือนจิตสำนึกของอนุชนรุ่นหลัง หรือเพื่อเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของเรื่องราวดังกล่าวนั้น เช่น สงครามยุทธหัตถี การเสียกรุงศรีอยุธยา การสร้างกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นำมาเขียนในแง่มุมใหม่ๆ ได้เสมอ ทั้งนี้เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ทรรศนะต่าง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความคิดและมุมมองใหม่ๆ อยู่เสมอ
            4. สารคดีท่องเที่ยว (Travel Features) เป็นการนำเรื่องราวที่พบเห็นจากการท่องเที่ยวมา
เขียนถึงในแง่มุมต่าง ๆ ตามแต่ทรรศนะของแต่ละคน
            5. สารคดีแนะนำวิธีทำ(How-To-Do Features) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแสดงขั้นตอนการ
ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การผลิตกีต้าร์ การทำขนม การตัดเย็นเสื้อผ้า หรือทำอาหารพิเศษต่าง ๆ การทำสวน เป็นต้น
            6. สารคดีเด็ก(Children Stories) เป็นเรื่องที่เขียนถึงเรื่องราวของเด็ก อาจจะเป็นจิตวิทยาเด็ก
การเลี้ยงดู การใช้แรงงานเด็ก หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกบเด็กโดยตรง เกร็ดความรู้ต่าง ๆ หรือ
คู่มือการเรียน เป็นต้น
            7. สารคดีสตรี(Women Stories) เป็นเรื่องที่เขียนถึงสตรีในแง่มุมต่าง ๆ เช่น สตรีกับการพัฒนา บทบาทของสตรีในยุคปัจจุบัน สตรีกบการเมือง หรือนักธุรกิจหญิง
            8. สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ (Animal Stories) เป็นเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับสัตว์ในแง่ของการให้ความรู้ที่เป็นสาระ เช่น ถุงทอง เทพธิดาแห่งสยาม (สารคดีผีเสื้อ) ค้างคาวกิตติ (เรื่องของค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลก)
            9. สารคดีความทรงจำ (Memory) เป็นเรื่องราวของความทรงจำในอดีตที่มีความสำคัญสำหรับสังคมที่ผู้เล่าได้ฟื้นความหลังให้ผู้เขียนนำมาเขียนเผยแพร่ หรืออาจจะเขียนเองจากความทรงจำของตนก็ได้ เช่น การอพยพหนีสงคราม การละเล่นสมัยก่อน พิธีกรรมเก่า ๆ เป็นต้น
            10. สารคดีจดหมายเหตุ(Archives) เป็นเรื่องราวของการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อาจจะเป็นทางราชการหรือกึ่งราชการก็ได้ บันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น จดหมายเหตุเสด็จหว้ากอ ของ รัชกาลที่ 4 นอกจากนี้ฝรั่งเดินทางมาเมืองไทยได้เขียนจดหมายไว้จำนวนมาก เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์
            ในขณะที่ มาลี บุญศิรีพันธ์ (2530)แบ่งประเภทสารคดีออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

            1. สารคดีเกี่ยวกับข่าว หรือสารคดีเชิงข่าว (News Feature) เป็นสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน การนำเสนอสารคดีอาจไม่ทันเหตุการณ์เท่ากบการเสนอข่าว แต่ก็มีองค์ประกอบของความทันเวลา (Timely) ไม่ถึงกับล้าสมัย เหตุการณ์นั้นยังอยู่ในความคิดคำนึงของประชาชน สารคดีข่าวไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อจุดความสนใจให้ผู้อ่านเกี่ยวกับข่าว แต่มีเป้าหมายเพื่อเสนอประเด็นที่อยู่ในความสนใจในฐานะมนุษย์ปุถุชน (Human interest perspective) ที่แฝงอยู่ในเหตุการณ์ข่าว ผู้เขียนจะเน้นที่ผลกระทบอารมณ์ของเหตุการณ์ต่อผู้เกี่ยวข้อง เป็นการให้ข่าวสารอีกแง่หนึ่งนอกเหนือจากที่ปรากฏในองค์ประกอบของข่าว
            2. สารคดีเกี่ยวกับมนุษย์ (Human Interest Feature) คือสารคดีที่ไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าทางข่าวแฝงด้วยเสมอไป ไม่จำเป็นต้องเสนอให้ทันเวลาอย่างรวดเร็วเท่าสารคดีข่าว แต่มีคุณสมบัติในทางเร้าใจเร้าอารมณ์ตามธรรมชาติของปุถุชน บางคนเรียกสารคดีประเภทนี้วาสารคดีที่ไม่ใช่ข่าว(Non-News Feature) จะนำเสนอเมื่อไหร่ก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม และเนื้อหาของหน้ากระดาษ สารคดีบางเรื่องต้องคำนึงถึงกาลเทศะอันเหมาะสมเท่านั้น เช่น สารคดีในโอกาสต่าง ๆ สารคดีเกี่ยวกับมนุษย์มักเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ทั่วไปสนใจใคร่รู้ โดยเฉพาะความเป็นไปของมนุษย์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นกับตนเองด้วย จึงมีองค์ประกอบทางอารมณ์มากกว่าอย่างอื่น เช่น เรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ เด็ก สตรี สถานที่ประวัติศาสตร์ ชีวิตลำเค็ญ ความสำเร็จในชีวิต สร้างอารมณ์ร่วม ความเข้าใจเห็นใจ สงสาร และชื่นชมกับผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้เสมอ
            แต่สำหรับประเภทของสารคดีแนวใหม่ มีการจำแนกในลักษณะ ดังนี้ (ธัญญา วังขพันธานนท์, 2548, น.23-26) สารคดีที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร วารสารและหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันมีความหลากหลาย ทางด้านเนื้อหาอย่างมาก ทั้งยังแบ่งย่อยออกไปตามกลุ่มของนิตยสารหรือสารสารแนวต่างๆ จากการสำรวจสารคดีที่ปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์ในปัจจุบันพบว่ามีเนื้อหาโดยรวมเกี่ยวกับโลก มนุษย์ ธรรมชาติ สังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรม ซึ่งหากจัดประเภทย่อย ๆ ของสารคดีที่ปรากฏในสื่อสิ่งพิมพ์อาจจำแนกได้ดังนี้

            1. สารคดีรายงานเหตุการณ์ หมายถึงสารคดีที่มุ่งเสนอเรื่องราวซึ่งเป็นการรายงานเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่เกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งและเหตุการณ์หรือกิจกรรมนั้นมีสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์กับสาธารณชนหรือบุคคลในแวดวงที่เกี่ยวข้องอย่างไร เช่น บทรายงานการสัมมนา การประชุมทางวิชาการ หรือการจัดงานรำลึกบุคคลและเหตุการณ์สำคัญ เป็นต้น
            2. สารคดีชีวิตบุคคล หมายถึง สารคดีที่มุ่งนา เสนอเรื่องราว หรือแง่มุมในชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นคนเด่นคนมีชื่อเสียง แต่ชีวิตของบุคคลธรรมดาสามัญก็สามารถ นำมาเขียนเป็นสารคดีชีวิตประเภทนี้ได้ ขึ้นอยู่กับการเลือกและการจับประเด็นที่จะนำเสนอ ลักษณะของสารคดีเกี่ยวกับชีวิตบุคคลจะเป็นการนา เสนอข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับชีวประวัติ อาชีพ การงาน การต่อสู้ชีวิต ความสำเร็จหรือความล้มเหลว อุดมคติหรือปรัชญาชีวิตที่บุคคลนั้นๆ ยึดถือ เป็นแนวทาง ผู้เขียนต้องเรียบรียง และจัดลำดับการนำเสนอให้น่าอ่าน คุณค่าของสารคดีชีวิตบุคคล อยู่ที่การแสดงแบบอย่างให้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคล ซึ่งอาจจะมีทั้งแง่มุมในด้านที่ประสบความสำเร็จและความล้มเหลว นอกจากช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจชีวิตมนุษย์มากขึ้นแล้ว อาจเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้กับผู้อ่านด้วย
            3. สารคดีเด็ก เป็นสารคดีที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวของเด็ก ๆ ทั้งในด้านของความบริสุทธิ์  น่ารัก ความไร้เดียงสาและความใฝ่ฝันหรืออาจจะนำเสนอตีแผ่ให้เห็นถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็ก เช่น การเอารัดเอาเปรียบ การกดขี่และทารุณกรรมเด็ก ตลอดจนการใช้แรงงานเด็ก การนำเสนอเรื่องราวในสารคดีเกี่ยวกับเด็กนั้น อาจนำเสนอชีวิตของเด็กคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มของเด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น การนำเสนอปัญหาเด็กเร่ร่อนในเมืองหลวง ปัญหาของเด็กในแคมป์งานก่อสร้าง ความสำเร็จของเด็กอนุรักษ์ป่า
            4. สารคดีท่องเที่ยว เป็นสารคดีที่ได้รับความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นแนวการเขียนสารคดีที่เก่าแก่ เกิดขึ้นนับแต่มนุษย์ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ เป็นการบันทึกและถ่ายทอดประสบการณ์ ความประทับใจเกี่ยวกับสถานที่ ผู้คนในภูมิประเทศและวัฒนธรรมที่นักเดินทางไปสัมผัสพบ การให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น การเดินทาง ที่พักแหล่งซื้อของ ฯลฯ สารคดีท่องเที่ยวได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ นักอ่าน เห็นได้จากนิตยสารหรือวารสารแทบทุกเล่มจะต้องนำเสนอสารคดีประเภทนี้
            5. สารคดีเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สารคดีประเภทนี้มีเนื้อหาหลักในการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ตลอดจนการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า ภูเขา หรือการตีแผ่ให้เห็นปัญหาและวิกฤติทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันสารคดีประเภทนี้ได้รับ ความสนใจเป็นอย่างมาก เห็นได้จากมีการนา เสนอในนิตยสารหลายฉบับ เช่น สารคดี วารสาร อ.ส.ท. เป็นต้น
            6. สารคดีวิถีชีวิต ได้แก่ สารคดีที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวการดำเนินชีวิตของกลุ่มคนกลุ่มใด กลุ่มหนึ่งที่เห็นว่ามีลักษณะพิเศษเฉพาะที่น่าสนใจ เพื่อนำเสนอและเปิดเผยให้คนอ่านรับรู้ เช่น วิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆ ในบริบททางประเพณี ความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะ กลุ่ม นอกจากนี้แล้วยังหมายถึงวิถีชีวิตของกลุ่มคนในบางสิ่งแวดล้อม เช่น ชีวิตคนในสลัม ใต้สะพานลอย วิถีชีวิตของนักศึกษาในหอพัก วิถีชีวิตของสาวหางเครื่อง เป็นต้น สารคดีวิถีชีวิตเป็น สารคดีที่ผู้เขียนจำเป็นจะต้องลงไปเก็บข้อมูลในสนามหรือในพื้นที่จริง สารคดีประเภทนี้ไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์เกี่ยวกับสังคมมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าในทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาด้วย
            7. สารคดีเกี่ยวกับสตรี คือสารคดีที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวของสตรีทั้งรายบุคคลและกลุ่มสตรี ซึ่งมักมีประเด็นที่นำ เสนอเกี่ยวกับความสนใจ รสนิยม ชีวิตการงานในแต่ละอาชีพ ตลอดจนปัญหาของสตรีในด้านต่างๆ เช่น การทำแท้ง การถูกข่มขืน ปัญหาแรงงานสตรี กลุ่มสตรีในชนบท และบทบาทของสตรีในด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่าสารคดีเกี่ยวกับสตรีส่วนหนึ่งที่นำเสนอในสื่อสิ่งพิมพ์จะเน้นในเรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ซึ่งเป็นแนวการเขียนตามความคิดของกลุ่มสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์(feminist)
            8. สารคดีรายงานพิเศษ สารคดีรายงานพิเศษ หรือที่เรียกกันว่า สกู๊ปพิเศษเป็นสารคดีที่ มีขนาดยาว อาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบรอบด้าน และใช้เวลานานพอสมควร และสิ่งสำคัญคือผู้เขียนสารคดีประเภทนี้ต้องลงไปสัมผัสกับข้อมูลจริง สารคดีรายงานพิเศษมักจะนำเสนอเรื่องราวที่มีลักษณะท้าทายความสามารถในการเก็บข้อมูล หรือเป็นประเด็นที่ต้องใช้ความเสี่ยง อาจเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องไม่อยากเปิดเผยเพราะผิดกฎหมายหรือไม่ถูกต้องตามประเพณีอันดีงามของสังคม ดังจะเห็นได้จากสารคดีประจำฉบับที่ถูกนำมาขึ้นปกในนิตยสารสารคดี
            9. สารคดีเชิงวิจารณ์ หรือบทวิจารณ์ ได้แก่ สารคดีที่มุ่งแสดงความคิดเห็นติชมหรือวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมักปรากฏในหน้าวารสารและนิตยสารแทบทุกฉบับ เช่น บทวิจารณ์ภาพยนตร์ วิจารณ์ดนตรี วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์แฟชั่น อาหาร ฯลฯ บทวิจารณ์จะมุ่งประเด็น ติดชมและวิเคราะห์ อธิบายความเกี่ยวกับองค์ประกอบคุณค่าสาระและรวมไปถึงการประเมินค่า บทวิจารณ์ที่ดีไม่เพียงแต่แสดงความเห็นติชมเท่านั้น แต่ผู้เขียนจะต้องมีความรู้และมีหลักในการวิจารณ์ สามารถวิเคราะห์อธิบายหรือตีความให้ผู้อ่านได้รับความรู้เพิ่มเติมด้วย  จากการศึกษาข้างต้นทำให้พบว่าหน้าที่ของสารคดีมีความลึกซึ้งมากขึ้น กล่าวได้ว่าความต้องการอ่าน สารคดีของคนในสังคมไทยมีสูงมากขึ้น เพราะต้องการเข้าใจและรับรู้ถึงความเป็นจริงของประเด็นที่ตนเองสนใจ สารคดีตอบสนองได้เป็นอย่างดี  ขณะเดียวกัน สารคดีในนิตยสารสารคดีก็ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากได้หวนกลับคิดถึงตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของพลเมืองของประเทศไทยและพลเมืองของโลกด้วยในด้านของการสร้างความเข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและชีวิตมนุษย์

ขอบคุณข้อมูลจาก :
http://archive.lib.cmu.ac.th

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หนังสืออ่านนอกเวลา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3

            หนังสืออ่านนอกเวลา

ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3

            หนังสืออ่านนอกเวลา เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ในหลักสูตรวิชาภาษาไทย ให้นักเรียน เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและพัฒนาการอ่านของตัวเอง แต่เนื้อหาจะมาเป็นหนังสือเรียน ดังนั้นหนังสืออ่านนอกเวลาส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเรื่องสั้น นวนิยาย อ่านสนุก ให้แง่คิด และเนื้อหาดี


รายชื่อหนังสืออ่านนอกเวลา : ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3

          1.  ขนมแม่เอ๊ย โดย ส.พลายน้อย

(ภาพจาก : library.cvc.ac.th)


          2.  ขวัญสงฆ์ โดย  ชมัยภร แสงกระจ่าง

(ภาพจาก : library.chanupatham.ac.th)


          3.  ฃวดฅนอยู่หนใด โดย ชัยกร หาญไฟฟ้า 

(ภาพจาก : www.ookbee.com)


          4.  ความสุขของกะทิ โดย งามพรรณ เวชชาชีวะ 

(ภาพจาก : www.friendbooks.net)


          5.  ช ช้าง กับ ฅ ฅน โดย ศรัณย์ ทองปาน 

(ภาพจาก : books.google.com)


          6.  เด็กชายมะลิวัลย์ โดย ประภัสสร เสวิกุล 

(ภาพจาก : www.psevikul.com)


          7.  เด็กแนว โดย อาร์ม ตั้งนิรันดร 

(ภาพจาก : ulib.roong-aroon.ac.th)


          8.  เทพนิยายแอนเดอร์เสน ผู้แปล สมพร วาร์นาโด

(ภาพจาก : ulib.roong-aroon.ac.th)


          9.  บ้านเล็กในป่าใหญ่  โดย ลอร่า อิงกัลล์สไวล์เดอร์  ผู้แปล สุคนธรส 

(ภาพจาก : www.chutbooks.com)


          10. เรืองแสงอรุณ โดย วรวุฒิ ภักดีบุรุษ 

(ภาพจาก www.naiin.com)


          11. เส้นเลือดสีขาว โดย ณิชชารีย์

(ภาพจาก www.welovebook.com)


          12. อัลเฟรด โนเบล โดย สิทธา พินิจภูวดล 

(ภาพจาก : siamcart.com)


ขอบคุณข้อมูลจาก :
http://education.kapook.com/view26790.html%20

การอ่านจับใจความ

          การอ่านจับใจความ หมายถึง การอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่อ่าน เป็นข้อความที่คลุมข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ไว้ทั้งหมด

          ใจความสำคัญ  หมายถึง ใจความที่สำคัญ และเด่นที่สุดในย่อหน้า เป็นแก่นของย่อหน้าที่สามารถครอบคลุมเนื้อความในประโยคอื่น ๆ ในย่อหน้านั้นหรือประโยคที่สามารถเป็นหัวเรื่องของย่อหน้านั้นได้ ถ้าตัดเนื้อความของประโยคอื่นออกหมด หรือสามารถเป็นใจความหรือประโยคเดี่ยวๆ ได้ โดยไม่ต้องมีประโยคอื่นประกอบ ซึ่งในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยคในความสำคัญเพียงประโยคเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน ๒ ประโยค

          ใจความรอง หรือพลความ (พน-ละ-ความ) หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสำคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความสำคัญให้ชัดเจนขึ้น  อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คำจำกัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดงเหตุผลอย่างถี่ถ้วน เพื่อสนับสนุนความคิด ส่วนที่มิใช่ใจความสำคัญ และมิใช่ใจความรอง แต่ช่วยขยายความให้มากขึ้น คือ รายละเอียดของข้อความ

 

หลักการจับใจความสำคัญ

          ๑. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน

          ๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า

          ๓. เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามตนเองว่า เรื่องที่อ่าน มีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม อย่างไร

          ๔. นำสิ่งที่สรุปได้มาเรียบเรียงใจความสำคัญใหม่ด้วยสำนวนของตนเองเพื่อให้เกิดความสละสลวย


วิธีจับใจความสำคัญ

          วิธีการจับใจความ เป็นวิธีการในการบันทึกย่อใจความ ควรย่อด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ไม่ควรย่อด้วยการตัดเอาข้อความสำคัญมาเรียงต่อกัน เพราะอาจทำให้ผู้อ่านพลาดสาระสำคัญบางตอนไป ทำให้การตีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้


วิธีจับใจความสำคัญมีหลักดังนี้

          ๑. พิจารณาทีละย่อหน้า หาประโยคใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า

          ๒. ตัดส่วนที่เป็นรายละเอียดออกได้ เช่น ตัวอย่าง สำนวนโวหาร อุปมาอุปไมย (การเปรียบเทียบ) ตัวเลข สถิติ ตลอดจนคำถามหรือคำพูดของผู้เขียนซึ่งเป็นส่วนขยายใจความสำคัญ

          ๓. สรุปใจความสำคัญด้วยสำนวนภาษาของตนเอง


การพิจารณาตำแหน่งใจความสำคัญ

          ใจความสำคัญของข้อความในแต่ละย่อหน้าจะปรากฏดังนี้

                   ๑.   ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นของย่อหน้า

                   ๒.   ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนกลางของย่อหน้า

                   ๓.   ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายของย่อหน้า

                   ๔.  ประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของย่อหน้า

                   ๕.  ผู้อ่านสรุปขึ้นเอง จากการอ่านทั้งย่อหน้า (ในกรณีใจความสำคัญหรือความคิดสำคัญอาจอยู่รวมในความคิดย่อย ๆ โดยไม่มีความคิดที่เป็นประโยคหลัก)


ตัวอย่างตำแหน่งใจความสำคัญ



ใจความสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า            
               ความสมบูรณ์ของชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพื้นฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นมนุษย์ และความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติอย่างจริงใจ


ใจความสำคัญอยู่ตอนท้ายย่อหน้า     

              ความเครียดทำให้เพิ่มฮอร์โมนอะดรีนาลีนในเลือด  ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อเขม็งตึง ระบบย่อยอาหารผิดปกติเกิดอาการปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น แข้งขาอ่อนแรง ความเครียดจึงเป็นตัวการให้แก่เร็วใจ


ความสำคัญอยู่ตอนกลางย่อหน้า   

            โดยทั่วไปผักที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เกษตรกรมักใช้สารกำจัดศัตรูพืช หากไม่มีความรอบคอบในการใช้ จะทำให้เกิดสารตกค้าง ทำให้มีปัญหาต่อสุขภาพ ฉะนั้นเมื่อซื้อผักไปรับประทานจึงควรล้างผักด้วยน้ำหลายๆครั้ง เพราะจะช่วยกำจัดสารตกค้างไปได้บ้าง บางคนอาจแช่ผักโดยใช้น้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตก็ได้ แต่อาจทำให้วิตามินลดลง


ใจความสำคัญอยู่ทั้งตอนต้นและตอนท้ายย่อหน้า                                                       การรักษาศีลเพื่อบังคับตนเองให้มีระเบียบวินัยในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เรามาอยู่วัด มานุ่งขาวห่มขาว ไม่ใช่ถือแต่ศีลแปดข้อเท่านั้น แต่เราต้องนึกว่าศีลนั้นคือความมีระเบียบ มีวินัย เราเดินอย่างมีระเบียบมีวินัย นั่งอย่างมีระเบียบ กินอย่างมีระเบียบ ทำอะไรก็ทำอย่างมีระเบียบนั่นเป็นคนที่มีศีล ถ้าเราไม่มีระเบียบก็ไม่มีศีล

ที่มา : จุไรรัตน์  ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ, การใช้ภาษาไทย, ๒๕๔๗, หน้า ๔๕-๔